top of page
ค้นหา

“ตากะหมุก” ลายผ้าประจำจังหวัด อัตลักษณ์ผ้าพื้นถิ่นระยอง

  • รูปภาพนักเขียน: ศูนย์อนุรักษ์ผ้าพื้นถิ่นระยอง
    ศูนย์อนุรักษ์ผ้าพื้นถิ่นระยอง
  • 26 พ.ย. 2566
  • ยาว 3 นาที


ประวัติศาสตร์วิจักขณ์


ความหมายของคำว่า สมุก
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

สมุก [สะหฺมุก] น. ภาชนะสานก้น ๔ มุม มีฝาสวมครอบ สำหรับใส่สิ่งของต่าง ๆ


สัพะ พะจะนะ พาสา ไทย (พจนานุกรม ๔ ภาษา ฉบับแรก เรียบเรียงโดย ชอง-บาตีสต์ ปาเลอกัว มิชชันารี ชาวฝรั่งเศส ใช้เวลารวบรวมเกือบ ๑๐ ปี พิมพ์แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๓๙๗)

สมุกค (SAMUK) : Boite, Corbeille คำแปล กล่อง, ตะกร้า

สานสมุกค : Tresser des corbeille de bambou. คำแปล ตะกร้าสานด้วยไม้ไผ่


พจนานุกรม เขมร-อังกฤษ (Headley's Khmer-English Dictionary)

ស្មុគ (n) [smok] kind of box made of palm leaves (used as a container for tobacco or areca) คำแปล กล่องทำด้วยใบตาล (ใช้เป็นภาชนะใส่ยาสูบหรือหมาก)


จากการสืบค้นข้อมูลและการสัมภาษณ์ “สมุก” ตรงกับคําว่า “กะหมุก” ในภาษาพื้นถิ่นจังหวัดระยอง หมายถึง ภาชนะจักสานสำหรับใส่สิ่งของ มีก้น ๔ มุม จําพวกกล่อง หรือตะกร้า ซึ่งมีฝาปิด วัสดุที่ใช้ในการจักสานสามารถใช้วัสดุ ตามที่มีในท้องถิ่น อาทิ ใบลาน ใบตาล ไม้ไผ่

“กะหมุก” ในความทรงจำ


“กะหมุก เมื่อก่อนเป็นภาชนะประจําเชี่ยนหมาก ใช้สําหรับใส่หมาก พลู ขนาด ประมาณฝ่ามือ มีฝาปิด สานจากต้นกก โดยมากคนทางเมืองแกลงนํากะหมุกมาเร่ขายที่บ้านเพ พร้อมกับเสื่อ”

(วันศุกร์ บุญโส, สัมภาษณ์, ๑๑ กันยายน ๒๕๖๔)

“วัสดุที่ใช้สานกะหมุก โดยมากใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่น เช่น คล้า ใบเตย ใบจาก ใบตาล”

(เฉลียว ราชบุรี, สัมภาษณ์, ๑๑ กันยายน ๒๕๖๔)


“กลางคืนเดือนมืด ฉันจะไปลักควาย กลางคืนเดือนหงาย ฉันจะไปลักช้าง ถูกเขาจับได้ เอาไปใส่ตะราง เสียเงินไปตั้งกอง เสียทองไปตั้งกะหมุก”

(ปัญญา มั่งคั่ง , สัมภาษณ์, ๑๔ สิงหาคม ๒๕๖๕)


ผ้าตาสมุก ผ้าโบราณของไทย

นอกจากกะหมุก หรือสมุกที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ ลวดลายขัดของสมุกที่เป็นเอกลักษณ์ยังเป็นแรงบันดาลใจของครูช่างทอผ้าในอดีต ที่รังสรรค์เส้นใยถักทอจนเกิดเป็นลายที่คล้ายกันกับสมุก และเรียกผ้าที่เลียนแบบลายสายของสมุกว่า “ผ้าตาสมุก” หมายถึงผ้าซึ่งมีลวดลายเป็นตาอย่างกับสมุกนั่นเอง

ผ้าตาสมุก คือ ผ้าโบราณอย่างหนึ่ง มีลักษณะเป็นลายตาเล็ก ๆ มีพัฒนาการมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นผ้าที่ได้รับความนิยมในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ลักษณะคล้ายกันกับผ้าตามะกล่ำ ผ้าตาเล็ดงา (ผ้าเมล็ดงา)

ในหนังสือผ้าโบราณ จัดพิมพ์โดยกรมศิลปากร กล่าวถึงลักษณะผ้าโบราณที่ปรากฏชื่อ ๑ ในรายชื่อผ้าโบราณนั้นคือ ผ้าตาสมุก มีการกล่าวไว้ดังนี้

“ผ้าตามะกล่ำ ผ้าตาเล็ดงา ผ้าตาสมุก ผ้าฝ้ายสีคล้ำ มีลายเล็ก ๆ”



ผ้าตาสมุก ในเอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของจังหวัดระยอง

จังหวัดระยอง มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน อีกทั้งยังมีวิถีชีวิตและภูมิปัญญาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่น่าสนใจ ในส่วนของประวัติความเป็นมาและภูมิปัญญาที่เกี่ยวข้องกับผ้าในพื้นที่จังหวัดระยอง มีข้อมูลในเอกสารคำให้การชาวกรุงเก่า เป็นหนังสือพงศาวดารสยามในหอหลวง พระราชวังของพระเจ้าแผ่นดินพม่า ซึ่งพระเจ้าอังวะให้เรียบเรียงจากคำให้การของคนไทยเมื่อครั้งตีกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ปรากฏเรื่องส่วยและอากร ระบุเกี่ยวกับสิ่งของต่าง ๆ รวมถึงผ้าขาว ผ้าแดง ที่เมืองระยองต้องส่งเข้ามาถวายพระเจ้ากรุงศรีอยุธยา อีกทั้งในนิราศเมืองแกลงของพระสุนทรโวหาร (ภู่) ที่แต่งขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๔๙ กล่าวถึงการนุ่งห่มของคนพื้นที่บ้านในไร่ ตำบลเพ แต่งกายโดยการห่มตะแบงมาน แต่ทั้ง ๒ ข้อมูลที่ก็ไม่ได้ระบุชัดถึงลวดลายของผ้าที่เด่นชัด

จากการสืบค้นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวเสด็จพระราชดำเนินหัวเมืองชายทะเลตะวันออก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๙ ในจดหมายเหตุระยะทางเมืองจันทบุรี ขณะที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาถึงแหลมระยอง (แหลมแสมสาร) พระศรีสมุทรโภคชัยโชคชิตสงคราม (เกตุ ยมจินดา) เจ้าเมืองระยองได้เข้าเฝ้า มีข้อมูลการถวายผ้าตาสมุก ซึ่งเป็นผ้าลายโบราณ ปรากฏในพระราชนิพนธ์ดังนี้


“ครั้นเมื่อมาพักที่พลับพลา พระไพรัชเขาพาพระศรีสมุทโภคเจ้าเมืองระยอง กับหลวงปลัด หลวงผู้ช่วย หมื่นพัฒนสมบัติ จีนเล่งหัวผู้จาหน่ายสุรา จีนซางเจ้าภาษีหมู กับจีนอยู่ จีนไทสาน จีนจงชิว จีนโอเฮียว จีนโก๋ จีนสงเมา จีนโอสิด จีนเอง เปนลูกค้าเมืองระยอง เอาของมาให้ มีผ้าไหม ผ้าพื้นตาสมุก กับ ข้าวสารของสดต่างๆ เปนอันมาก”


เมื่อทรงเสด็จพระราชดําเนินผ่านเขาแหลมหญ้าถึงช่องเสม็ด ทอดสมอช่องเสม็ดเวลาบ่าย ๕ โมง บ่ายห้าโมงครึ่งลงเรือโบด ให้เรือภิรมย์เร็วจรลาก เสด็จขึ้นฝั่งที่บริเวณคลองกรูน บ้านเพ จังหวัดระยอง ในพระราชนิพนธ์ มีการกล่าวถึงผ้าตาสมุก ความว่า


“หลวงศัลยุทธพระยาไกรโกษา (ทัด) เก็บได้กัลปังหาแดง ๒ กิ่ง กัลปังหาขาวกิ่งหนึ่ง เราชอบใจนัก ด้วยเปนของหายากจริงๆ เราให้รางวัลผ้าตาสมุกของกำนันเขาผืนหนึ่ง”


นอกจากนี้ในบันทึกความทรงจำของคุณเลี้ยง สิทธิไชย ที่ได้ร่วมในงานแต่งงานหมู่ ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการจังหวัดระยอง เป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อเป็นการประหยัด โดยทางจังหวัดให้ผู้นำในชุมชนแจ้งแก่ผู้ที่จะแต่งงานในปีนั้น ๆ แจ้งชื่อให้กับทางจังหวัดจัดงานสมรสให้ ในการจัดการแต่งงานหมู่ในวันที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๗ ซึ่งนับว่าเป็นปีแรก โดยนายกิจ พรหมเวช กำนันตำบลเพในขณะนั้นได้แจ้งชื่อ นายเลี้ยง สิทธิไชย และนางสาวบุญช่วย คีรีวัลย์ เป็นคู่บ่าวสาวตัวแทนจากบ้านเพไปร่วมในการแต่งงานหมู่ ได้บรรยายเรื่องการแต่งกายด้วยผ้าตาสมุก ดังนี้


“ผู้เขียนแต่งชุดสากล ผ้าไทยลายตาสมุก สีดอกมะเขือสดอ่อน ๆ เป็นผ้าไทยกำลังนิยมกันในสมัยนั้น ผ้าผูกคอหรือเนคไทลายเฉียงพื้นดำ สลับขาว แดงสีเข้มหน่อย รองเท้าหนังแกะสีน้ำตาล เป็นหนังแกะที่ใช้ตัดรองเท้าสุดยอดในสมัยนั้น ตัดมาจากร้าน (ฟ้ามซุ่งฟั้ด) บางลําพู สมัยที่เป็นทหารอยู่กรุงเทพฯ”



ผ้าตากะหมุก (ตาสมุก) ลายผ้าประจำจังหวัดระยอง


ผ้าตากะหมุก (ตาสมุก) เป็นผ้าโบราณที่มีลวดลายอันเป็นอัตลักษณ์ เป็นมรดกภูมิปัญญาโดดเด่นทรงคุณค่าประจำถิ่น มีเรื่องราวความเป็นมาที่ผูกพันและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวจังหวัดระยอง รวมทั้งมีการบันทึกปรากฏชัดเจนในเอกสารทางประวัติศาสตร์ ที่สะท้อนให้เห็นถึงบริบททางสังคม วัฒนธรรม และภูมิปัญญา อันทรงคุณค่ามาอย่างยาวนาน โดยคณะกรรมการพิจารณากำหนดผ้าประจำจังหวัดระยอง ได้ร่วมกันพิจารณากลั่นกรอง สืบค้น และมีมติเป็นเอกฉันท์เห็นสมควรให้ “ลายผ้าตากะหมุก (ตาสมุก)” เป็นลายผ้าประจำจังหวัดระยอง ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕



รู้หลักเรื่องฝ้าย


ฝ้าย เป็นเส้นใยจากธรรมชาติจากพืช เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับใช้ทอผ้า โดยการแปรรูปปุยฝ้ายให้กลายเป็นเส้นใยนั้น หลังจากเก็บปุยฝ้าย นำมาตากให้แห้งสนิท จึงอีดหรืออิ้วเพื่อแยกเมล็ดฝ้ายออก ต่อจากนั้นนำมาดีดให้ขึ้นฟู ล้อให้เป็นม้วนกลมเพื่อสะดวกต่อการนำไปปั่นหรือเข็นให้เป็นเส้นใย


ฝ้าย ในเอกสารทางประวัติศาสตร์


ในบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวเสด็จพระราชดำเนินบ้านเพ จังหวัดระยอง ในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ ความว่า

“...ได้ถามเขาว่าหากินอย่างไร เขาว่า​ทำเยื่อเคยกับนาบ้าง ข้างโรงนั้นเห็นมีไร่ล้อมรั้วเขาปลูกฝ้าย...”


ฝ้าย ในความทรงจำ

“ได้ทันเห็นยายทอผ้า สมัยที่ยังเด็ก ๆ ต่อมาเมื่อขายบ้านและย้ายบ้าน กี่สำหรับทอ ผ้านั้นก็ขายไปกับบ้านหลังเก่า นับจากนั้นก็ไม่ได้เห็นยายทอผ้าอีก ผ้าที่ทอนั้นเป็นผ้าฝ้าย ซึ่งต้นฝ้ายนั้นมีมาก ได้ปลูกไว้ตามสวน”

(แหว๋ ธรรมหลวง, สัมภาษณ์, ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๖๔)


“คนในพื้นที่ เรียกดอกของต้นฝ้ายว่า ดอกสำลี เพราะเวลาฝ้ายออกดอกจะมีปุยสีขาวเป็นก้อนกลม เหมือนกับสำลี ต้นฝ้ายนี้มักจะขึ้นแซมอยู่ตามสวน หรือพื้นที่รกร้างทั่วไป ดอกสำลีใช้ยัดใส่หมอนบ้าง ยัดใส่ในตัวตุ๊กตาผ้าบ้าง”

(ผ่องศรี สัมภาวะผล, สัมภาษณ์, ๒๔ พฤษภาคม ๒๔๖๔)



ย้อมเส้นด้ายให้เป็นสี

สีธรรมชาติ คือสีที่ได้จากส่วนต่าง ๆ ของพืช เช่น ใบ เปลือก แก่น ราก ดอก ผล เมล็ด ซึ่งสกัดด้วยกรรมวิธีต่าง ๆ โดยพืชแต่ละชนิด แต่ละส่วน จะให้สีสันที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังขึ้นอยู่กับความอ่อน แก่ สด แห้ง ช่วงเวลา เดือน และฤดูกาลที่เก็บเกี่ยวนำมาใช้ด้วย

การย้อมสีธรรมชาติ คือ การนำเอาวัตถุดิบในการผลิตสีจากธรรมชาติมาผ่านกระบวนการสกัดด้วยการต้ม การหมัก แล้วนำเส้นใยลงย้อม จะได้เส้นใยที่มีสีสันตามความต้องการเพื่อนำมาทอผ้า

การย้อมสีเส้นใย เป็นองค์ประกอบหนึ่งในการสร้างลวดลายบนผืนผ้า เพื่อให้มีสีสันที่สวยงามและมีความน่าสนใจ โดยสีที่ใช้ย้อมมีทั้งสีธรรมชาติและสีเคมี ในรูปแบบของการย้อมเย็น และย้อมร้อน ตามความเหมาะสมของประเภทวัตถุดิบที่ใช้ย้อม โดยเส้นใยที่จะใช้ย้อมจะต้องผ่านกระบวนการทำความสะอาดก่อนทำการย้อม และจะต้องผ่านกระบวนการตรึงสีเพื่อให้สีที่ย้อมมีความคงทนหลังการย้อม



สีผ้าพื้นถิ่นดั้งเดิม


“ข้าพเจ้าได้สั่งให้เจ้าหน้าที่สอบสวนแล้ว ได้ความว่าการทําสีสําหรับย้อมเส้นด้าย เส้นไหมในการทอผ้าของไทย สมัยโบราณในท้องที่จังหวัดนี้ไม่มี คงมีแต่ใช้ผลมะเกลือสําหรับย้อมผ้าบ้างเล็กน้อยเท่านั้น”

(หอจดหมายเหตุแห่งชาติจันทบุรี, อํามาตย์โทพระยานรินภักดี (สุก พังสุภูติ) ผู้ว่าราชการจังหวัดระยองตอบกลับ มหาอํามาตย์ตรี พระยาศรีเสนา สมุหเทศาภิบาลมณฑลจันทบุรี การทําสีสําหรับย้อมเส้นด้ายเส้นไหมในการทอผ้าของจังหวัดระยอง, ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๗๓)



“ผ้าที่เคยเห็นยายทอสมัยนั้นเป็นผ้าสีดํา ย้อมด้วยมะเกลือ”

(แหว๋ ธรรมหลวง, สัมภาษณ์, ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๔)



“…ผู้เขียนแต่งชุดสากล ผ้าไทยลายตาสมุก สีดอกมะเขือสดอ่อน ๆ เป็นผ้าไทยกําลังนิยมกันในสมัยนั้น …”

(เลี้ยง สิทธิไชย, บันทึกความทรงจำ, ๗ มกราคม ๒๔๘๗)



จับกี่ถักทอ

ผ้าตากะหมุก (ตาสมุก) เป็นผ้าที่มีลวดลายเอกลักษณ์ สร้างลายด้วยวิธีการทอขัด โดยมีการลำดับสีของเส้นใย ๒ สี คือสีเข้มสีหนึ่งและสีอ่อนสีหนึ่ง ไล่เรียงสลับกันไปตามขนาดของลายตาที่ต้องการ และเมื่อสุดลายตาแล้วจะใช้เส้นใยสีเข้มคั่นลายตาจำนวน ๒ เส้น เพื่อให้เกิดลายตาที่ชัดเจนและทำให้เกิดลวดลายที่คล้ายกันกับเครื่องจักสานที่เรียกว่า สมุก หรือ กะหมุก ในภาษาถิ่นระยอง

วิธีการทอผ้าตาสมุก ที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรที่เก่าที่สุดที่มีค้นพบ คือ บันทึกว่าด้วยอาชีพของชนชาวพื้นเมืองในท้องที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เรียบเรียงโดยพระโพธิวงศาจารย์ (ติสโส อ้วน) จัดพิมพ์โดยหอพระสมุดวชิรญาณ ในปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ดังนี้


“ผ้าตาสมุก ชาวพื้นเมืองเขาเรียกว่าลายเกล็ดเต่า มีวิธีค้นแลสืบหูกเช่นไหมสีขาวกับสีดำต้องค้นสืบในฟันฟืมหนึ่ง มีสีดำเส้น ๑ ขาว เส้น ๑ ถ้าถึงริมที่จะถึงลายขัดริมของตาสมุกในฟันฟืมนั้นต้องใส่สีดำ ๒ เส้น เป็นระยะ ๆ ไปทุกลายของตาสมุกนี้ไปทางยืน ฝ่ายทางพุ่งก็พุ่งดำเส้นหนึ่งขาวเส้นหนึ่ง เมื่อถึงลายขัดที่ริมตาต้องพุ่งสีดำทั้ง ๒ เส้น ทำเช่นนี้ไปตลอดผืน แต่เขาต่อที่หน้าฟืมสองเขานั้น เปนเขาสอดไหมสีดำเขาหนึ่ง สอดไหมสีขาวเขาหนึ่ง”



ส่งต่อภูมิปัญญา


จากการสืบค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ และการสัมภาษณ์ผู้คนในท้องถิ่น “ผ้าตากะหมุก (ตาสมุก)” ซึ่งนับได้ว่าเป็นผ้าซึ่งเป็นอัตลักษณ์ประจําท้องถิ่น จังหวัดระยอง ที่มีชื่อเสียง ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์ จดหมายเหตุระยะทางเมืองจันทบุรี ในปี พ.ศ. ๒๔๑๙ “ว่าด้วยการช่างการค้าขายเมืองจันทบุรี แลหัวเมืองขึ้นเมืองจันทบุรี” โดยคราวเดียวกันนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดํารัสเกี่ยวกับผ้าพื้นถิ่นในแถบนี้และทรงให้คำนิยมว่าผ้าพื้นถิ่นแถบนี้มีคุณภาพดีอีกด้วย


“...ผ้าพื้น ผ้าห่อหมาก ผ้าอาบน้ำ แลแพรนุ่งนั้น พวกผู้หญิงทอที่เมืองจันทบุรี เมืองแกลง ​เมืองขลุง โดยมาก ใช้ด้ายเทศย้อมสีต่างๆ ทอเปนผ้าพื้นบ้าง ผ้าตาสมุกบ้าง แลผ้าราชวัตรบ้าง มีฝีมือดีกว่าที่กรุงเทพฯ...”


และมีข้อมูลครั้งสุดท้ายเกี่ยวกับผ้าชนิดนี้จากบันทึกความทรงจำของคนบ้านเพ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ จากนั้นผ้าตาสมุกก็ได้สูญหายไปจากวิถีชีวิตชาวระยองเกือบ ๘๐ ปี


ในปัจจุบันผ้าตากะหมุก (ตาสมุก) ได้รับการประกาศให้เป็นลายผ้าประจำจังหวัด จึงเป็นโอกาสในการรื้อฟื้น เพื่อสืบสาน รักษา และต่อยอด ด้วยการส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนในระดับท้องถิ่นและระดับจังหวัดเกิดความตระหนัก รัก หวงแหน และเข้ามามีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ฟื้นฟูให้คงอยู่สืบไป

ศูนย์อนุรักษ์ผ้าพื้นถิ่นระยอง จึงมีความตั้งใจที่จะพัฒนาสู่การเป็นศูนย์เรียนรู้การทอผ้าพื้นถิ่น ที่สามารถถ่ายทอดกระบวนการทอผ้าได้อย่างครบวงจรให้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ประชาชน เยาวชน และบุคคลที่สนใจ ให้เกิดความรู้ ทักษะ ตลอดจนการเข้าถึงคุณค่า สู่การพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาให้เกิดมูลค่า เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ในทุกมิติ



นายจิรพันธุ์ สัมภาวะผล

  • รองประธานสภาวัฒนธรรมอำเภอเมืองระยอง

  • ประธานสภาวัฒนธรรมตำบลเพ

  • ประธานศูนย์อนุรักษ์ผ้าพื้นถิ่นระยอง







Rayong Traditional Fabric Conservation Center
Phe Sub-district, Mueang Rayong District, Rayong
Tel 094 493 0092
 
 
 

Comments


bottom of page